• Equinor บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของนอร์เวย์ เปิดตัวฟาร์มกังหันลมลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ‘Hywind Tampen’ ที่นอกชายฝั่งทางตะวันตกของนอร์เวย์ในทะเลเหนือ โดยจะเป็นแหล่งผลิตพลังงานพลังงานให้กับแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในบริเวณใกล้เคียงจำนวน 5 แห่ง
  • Equinor มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในการเป็น “บริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” (net zero company) ภายในปี ค.ศ. 2050 เช่นเดียวกับบริษัทน้ำมันส่วนใหญ่ แต่ยังยืนยันว่า “ยังคงมีความต้องการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำหรับการผสมผสานพลังงานหลายประเภทในปี ค.ศ. 2050” โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้การชดเชยคาร์บอน (carbon offsets) เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของบริษัทที่เหลืออยู่
  • แม้ว่าโครงการนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่นักรณรงค์ด้านสภาพภูมิอากาศกลับแย้งว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยสิ้นเชิง

ฟาร์มกังหันลมลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ‘Hywind Tampen’ ตั้งอยู่นอกชายฝั่งตะวันตกของนอร์เวย์ในทะเลเหนือได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันอย่าง Equinor เป็นผู้อยู่เบื้องหลังโครงการนี้ โดยเป็นหุ้นส่วนร่วมกับบริษัทน้ำมัน OMV และ Vaar Energi

Hywind Tampen ประกอบด้วยกังหันลมจำนวน 11 ตัวที่ยึดติดกับฐานลอยน้ำที่ทอดสมออยู่ที่พื้นทะเล (seafloor) แทนที่จะยึดติดกับพื้นมหาสมุทร (ocean bed) โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่กล่าวว่าวิธีนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในทะเลลึกนอกชายฝั่ง และ Equinor หวังที่จะดำเนินการพัฒนาต่อไป แต่ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมีปฏิกิริยาที่หลากหลายออกไป

Hywind Tampen farm มีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 88 เมกะวัตต์ (MW) จะเริ่มผลิตพลังงานและไปสู่เต็มกำลังการผลิตได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ พลังงานที่ผลิตได้จะครอบคลุมประมาณร้อยละ 35 ของพลังงานที่จำเป็นในการจ่ายพลังงานให้กับแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวน 5 แห่งที่นอกชายฝั่งในทะเลเหนือ (North Sea) ซึ่งแท่นขุดเจาะเหล่านี้โดยทั่วไปใช้พลังงานฟอสซิลคาร์บอนสูงอย่างเช่นน้ำมันดีเซลหรือก๊าซธรรมชาติในการเดินเครื่องจักร

Equinor กล่าวว่า การใช้กระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแห่งผลิตได้ประมาณ 200,000 ตันต่อปี นั่นเท่ากับร้อยละ 0.4 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดของนอร์เวย์ในปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565)

แม้ว่าโครงการนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่นักรณรงค์ด้านสภาพภูมิอากาศกลับแย้งว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าภาคการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะสามารถหรือควรเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนได้ แต่ก็ยังเป็นประเด็นขัดแย้งอย่างลึกซึ้งอยู่ดี

รายงานฉบับใหม่จาก Greenpeace ได้เน้นย้ำว่าโซลูชันพลังงานงานลมและพลังงานอื่น ๆ มีสัดส่วนน้อยเพียงใดในพอร์ตโฟลิโอของ Equinor ตามการวิเคราะห์ของ Greenpeace Central and Eastern Europe (CEE) ที่ได้ศึกษาบริษัทน้ำมันในยุโรป จำนวน 12 แห่ง ได้รายงานว่าบริษัทสัญชาตินอร์เวย์แห่งนี้ลงทุนใน ‘คาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง’ เพียงร้อยละ 3 ของงบประมาณของบริษัท แสดงให้เห็นว่าพลังงานหมุนเวียนยังคงเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของการผลิตพลังงานทั้งหมดของบริษัท

Greenpeace ชี้ให้เห็นว่าการติดตั้งแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าจากลมทั้งในฝั่งและนอกชายฝั่งนับเป็นสิ่งจำเป็น หากนอร์เวย์จะบรรลุสู่เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris agreement) ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณการปล่อยฯ โดยรวมของนอร์เวย์

นอร์เวย์ตั้งเป้าหมายพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ 30 กิกะวัตต์ (gigawatts) ภายในปี ค.ศ. 2040 (พ.ศ. 2583) ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศได้เป็นสองเท่า และกำลังเปิดประมูลโครงการฟาร์มกังหันลมเชิงพาณิชย์แห่งแรก รวมถึงฟาร์มกังหันลมลอยน้ำ 3 แห่งในฤดูใบไม้ร่วงนี้

ในขณะที่โลกตื่นตัวต่อพลังการทำลายสภาพภูมิอากาศของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ผู้ผลิตกำลังค้นหาวิธีของตัวเองในการฟันฝ่าสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้

Greenpeace กล่าวว่า บริษัท Shell และ BP ได้เพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) ซึ่งกลับคำสัญญาก่อนหน้านี้ว่าจะลดกำลังการผลิตลง อย่างไรก็ตาม Equinor ไม่เคยเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางการเติบโต บริษัทมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของนอร์เวย์ประมาณร้อยละ 70 และในปี ค.ศ. 2022 ได้ผลกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 134 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หลังจากได้ประโยชน์จากราคาก๊าซที่พุ่งสูงขึ้นในยุโรปจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน พลังงานหมุนเวียนคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.3 ของการผลิตพลังงานทั้งหมดของบริษัทในปีนั้น และ “การวางรูปแบบธุรกิจที่เป็นฟอสซิลอย่างชัดเจน” ก็ปรากฏชัดเจนในการลงทุนของบริษัท โดยมีมูลค่าการลงทุนเพื่อขยายหรือรักษาเสถียรภาพของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวน 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (7.7 พันล้านยูโร) จากเม็ดเงินการลงทุนทั้งหมดของบริษัทที่มีเกือบหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

บริษัท Equinor มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในการเป็น “บริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” (net zero company) ภายในปี ค.ศ. 2050 เช่นเดียวกับบริษัทน้ำมันส่วนใหญ่ แต่ยังยืนยันว่า “ยังคงมีความต้องการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำหรับการผสมผสานพลังงานหลายประเภทในปี ค.ศ. 2050” โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้การชดเชยคาร์บอน (carbon offsets) เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของบริษัทที่เหลืออยู่

นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเป็น 12 – 16 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี ค.ศ. 2030 เพิ่มขึ้นจาก 0.6 กิกะวัตต์ ในปีที่แล้ว โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ เช่น Hywind Tampen ก็พร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม นักรณรงค์ของ Greenpeace ยังคงไม่มั่นใจเกี่ยวกับ Equinor และ บริษัทพลังงาน “สกปรก 12 แห่ง” (dirty dozen) อื่น ๆ ในปี ค.ศ. 2022 มีเพียงร้อยละ 0.3 ของพลังงานที่บริษัทในยุโรป 12 แห่ง ผลิตได้รวมกันที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และในปีเดียวกัน มีเพียงร้อยละ 7.3 ของการลงทุนของบริษัทเหล่านี้ที่มุ่งไปสู่พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือพลังงานสีเขียว

Kuba Gogolewski CEE ของ Greenpeace กล่าวว่า “แทนที่จะจัดหาพลังงานสะอาดซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง พวกเขากลับนำขยะฟอกเขียว (greenwashing garbage) มาให้เรา การที่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ไม่เต็มใจที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ถือเป็นอาชญากรรมต่อสภาพภูมิอากาศของคนรุ่นต่อไป”

อ้างอิง

https://www.euronews.com/green/2023/08/23/norway-worlds-biggest-floating-wind-farm-will-power-oil-and-gas-platforms