• ภายในปี 2568 ราคาแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ 99 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ของความจุแบตเตอรี่ ซึ่งลดลงร้อยละ 40 จากราคาเมื่อปี 2565 อันเนื่องมาจากราคาวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ลดลง
  • ราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงคาดว่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีความเท่าเทียมเรื่องต้นทุนเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปภายในได้ประมาณกลางทศวรรษนี้โดยไม่ต้องใช้เงินอุดหนุน และเป็นปัจจัยทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเปลี่ยนผ่านไปสู่การขับเคลื่อนด้วยการยอมรับของผู้บริโภคมากกว่าเงินอุดหนุนของรัฐบาล

เมื่อไม่นานมานี้ จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและการขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบ ทำให้เกิดความกังวลว่า “ภาวะเงินเฟ้อจากกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม” หรือ greenflation จะทำให้ราคาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) มีราคาสูงขึ้น แต่ราคาดังกล่าวลดลงเมื่อราคาโลหะซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ลดลง ซึ่งช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถแข่งขันกับรถยนต์ทั่วไปได้เร็วขึ้น

Goldman Sachs Research คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 ราคาแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ 99 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ของความจุแบตเตอรี่ ซึ่งลดลงร้อยละ 40 จากราคาเมื่อปี 2565 (การคาดการณ์ก่อนหน้านี้จะลดลงร้อยละ 33) นักวิเคราะห์ได้ประมาณการว่าเกือบครึ่งหนึ่งของราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงมาจากราคาวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ลดลง เช่น ลิเทียม นิกเกิล และโคบอลท์

ในรายงาน Nikhil Bhandari หัวหน้าร่วม (co-head) ของฝ่ายวิจัยทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Research’s Asia-Pacific Natural Resources and Clean Energy Research) ของ Goldman Sachs คาดการณ์ว่าในช่วงระหว่างปี 2566 – 2573 ราคาแบตเตอรี่จะลดลงโดยเฉลี่ยร้อยละ 11 ต่อปี เมื่อราคาแบตเตอรี่ลดลง ก็คาดว่า (internal combustion engine: ICE) ได้ประมาณกลางทศวรรษนี้โดยไม่ต้องใช้เงินอุดหนุนบนพื้นฐานต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (total-cost-of-ownership)

Nikhil Bhandari กล่าวว่า “การลดต้นทุนแบตเตอรี่จะนำไปสู่ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่แข่งขันได้มากขึ้น การยอมรับของผู้บริโภคอย่างกว้างขวางมากขึ้น และการเติบโตเพิ่มขี้นของมูลค่าตลาดทั้งหมดที่เป็นไปได้ (total addressable markets) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่

แรกเริ่มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้รับแรงขับเคลื่อนมาจากการสนับสนุนด้านกฎระเบียบทั่วโลก แต่ในช่วงที่ผ่านมาการรุกคืบของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเริ่มลดลงจากระดับสูงสุด ซึ่งอาจเป็นเพราะปัจจัยขับเคลื่อนที่เป็นไปได้คือรัฐบาลในยุโรปและจีนลดการอุดหนุนลง

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เห็นว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ระยะใหม่ที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากด้วยการยอมรับของผู้บริโภคมากกว่าเงินอุดหนุนของรัฐบาลเนื่องจากราคาแบตเตอรี่ลดลง ทีมนักวิเคราะห์คาดการณ์สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 ในปี 2568 ร้อยละ 35 ในปี 2573 และร้อยละ 63 ในปี 2583

แต่ในสถานการณ์ “การยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคหมู่มาก” หรือ hyper adoption จะทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 21 ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกภายในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 47 ภายในปี 2573 และร้อยละ 86 ภายในปี 2583

จนถึงขณะนี้ประเทศจีนเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากตลาดรถยนต์ภายในจีนรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาที่สามารถแข่งขันได้กับรถยนต์สันดาปภายในเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่การจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดจีนได้รับการอุดหนุนจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนซึ่งจำหน่ายในราคาที่ขาดทุนได้ Goldman Sachs Research คาดว่าในที่สุดสิ่งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงประมาณกลางทศวรรษ เมื่อราคาแบตเตอรี่ลดลงและปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนรถไฟฟ้าลดลงอย่างมาก และในขณะที่ผู้บริโภคชาวจีนกำลังมองเห็นทางเลือกมากขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาที่สามารถแข่งขันได้ แต่ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปกลับมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า

Nikhil Bhandari กล่าวว่า “เราเชื่อว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนอาจเป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับระยะที่นำโดยการยอมรับของผู้บริโภค”

นอกจากนี้ การคาดการณ์ว่าราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างรวดเร็วนั้นก็มีปัจจัยมาจากเทคโนโลยีใหม่ของแบตเตอรี่ด้วย โดยในรายงานได้เน้นย้ำว่ามีนวัตกรรมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจำนวนหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ภายในทศวรรษนี้ นับว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนตลอดห่วงโซ่คุณค่าของแบตเตอรี่ได้ นวัตกรรมเหล่านี้ เช่น วัสดุแอโนดชนิดใหม่ที่ใช้ซิลิคอนมาแทนที่หรือผสมกับแกรไฟต์เพื่อเพิ่มความจุของแบตเตอรี่

อ้างอิง