• นักลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือนักลงทุนสีเขียว ได้กล่าวเตือนว่านักการเมืองควรให้สัญญาณที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนผ่านสีเขียวจะต้องดำเนินต่อไป รวมทั้งเรียกร้องให้มีความมั่นคงแน่นอนทางกฎหมาย (legal certainty)
  • หลักความมั่นคงแน่นอนทางกฎหมายได้ถูกสร้างขึ้นในยุโรปโดยกฎหมายว่าด้วยสภาพภูมิอากาศของยุโรป (European Climate Law) และระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emissions Trading System: ETS)
  • นักลงทุนสีเขียวยังได้กล่าวว่า EU’s Green Deal Industrial Plan จะเป็นแผนที่จะสร้างความต้องการเทคโนโลยีสีเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังรับประกันว่ามีการผลิตในยุโรป และหมายถึงการสร้างงานใหม่

แม้ว่าสหภาพยุโรปได้กำหนดเป้าหมายสภาพภูมิอากาศที่ทะเยอทะยานสำหรับปี 2573 (ค.ศ. 2030) และต้องการบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) แต่ข้อเสนอในการดำเนินการเพื่อการเปลี่ยนผ่านกลับได้รับการตอบรับด้วยการถอยหลังกลับ

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศอาจจะสร้างความขัดแย้งในระยะสั้น แต่นักการเมืองก็ไม่ควรเปลี่ยนแนวทาง และควรให้สัญญาณที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนผ่านสีเขียวจะต้องดำเนินต่อไป แม้ว่าอาจมีสิ่งหลอกล่อนักการเมืองให้ยกเลิกนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศในปีต่อ ๆ ไป แต่นักลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือนักลงทุนสีเขียว (green investors) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้และเรียกร้องให้มีความมั่นคงแน่นอนทางกฎหมาย (legal certainty)

Diego Pavía ซีอีโอ ของ EIT InnoEnergy ซึ่งเป็นนักลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ได้รับทุนบางส่วนจากบริษัทในสหภาพยุโรปและบริษัทเอกชน กล่าวว่า “ในการเปลี่ยนผ่านสีเขียว (green transition) งานที่สำคัญที่สุดสำหรับนักการเมือง คือ การให้สัญญาณว่ามีกลยุทธ์ที่เป็นระบบและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง”

“หลักความมั่นคงแน่นอนทางกฎหมายได้ถูกสร้างขึ้นในยุโรปโดยกฎหมายว่าด้วยสภาพภูมิอากาศของยุโรป (European Climate Law) และระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emissions Trading System: ETS) จะทำให้ยุโรปได้เปรียบเหนือสหรัฐอเมริกา ซึ่งเงินอุดหนุนที่ได้รับภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act: IRA) ได้กระตุ้นการลงทุนในภาคส่วนที่สะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียนและพลังงานไฮโดรเจน”

“เรามีวิธีการแบบยุโรปในการทำ IRA และสำหรับฉัน นั่นไม่ได้จ่ายเงินสำหรับบริษัทต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในยุโรป แต่เป็นการมอบกรอบการทำงานให้พวกเขาที่จะเข้ามาในยุโรป” เนื่องจากการสนับสนุนทางการเมืองที่มั่นคงสำหรับการเปลี่ยนผ่านสีเขียว

เขากล่าวเสริมว่า “สำหรับฉัน ยุโรปกำลังทำบางสิ่งที่มีโครงสร้างมากกว่ามาก เพราะมีการจัดทำกฎหมายสภาพภูมิอากาศฉบับแรก มีเพียงแคนาดาและยุโรปเท่านั้นที่บัญญัติเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในกฎหมาย”

ในขณะที่สหรัฐอเมริกา “บางทีทรัมป์อาจขึ้นสู่อำนาจอีกครั้ง และบางทีพวกเขาอาจละทิ้งเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ” ยุโรปจะเสนอความมั่นคงแน่นอนทางกฎหมายให้แก่นักลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวมากกว่า

การผลิตเทคโนโลยีสีเขียวในยุโรป – หรือจีน?

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศจะทำให้เห็นถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ แต่ยังรวมถึงการยุติภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากด้วย

ในขณะที่บางคนแสดงความกังวลว่าสิ่งนี้จะเปิดประตูให้อุตสาหกรรมออกไปจากดินแดนยุโรป แต่ Pavía กล่าวว่า เขาไม่ได้กังวลมากนัก โดยได้อ้างถึง EU’s Green Deal Industrial Plan ที่จะสร้างความต้องการเทคโนโลยีสีเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังรับประกันว่ามีการผลิตในยุโรป และหมายถึงการสร้างงานใหม่

ส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าว คณะกรรมาธิการฯ กำลังมองหาการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของผู้ผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น กังหันลมและแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ให้ได้ร้อยละ 40 ของความต้องการในยุโรป แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนว่าจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างไร

Pavía กล่าวว่า “เมื่อเราสร้างแต่อุปสงค์ในอนาคต และอุปสงค์นั้นถูกครอบงำโดยอุปทานของจีน นั่นอาจสร้างปฏิกิริยาเชิงลบได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ใหม่จะถูกบริษัทจากจีนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไป และในขณะนี้ ด้วยยุทธศาสตร์ทางอุตสาหกรรม ซัพพลายเออร์ในยุโรปจะเป็นผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก GDP ใหม่นี้ด้วยมาตรการจูงใจ ไม่ใช่ด้วยมาตรการป้องกัน”

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักลงทุนสีเขียวทั้งหมดที่จะแบ่งปันความคิดเห็นของเขา ดังที่เห็นได้ชัดในการประชุมที่จัดโดย EIT InnoEnergy ในอัมสเตอร์ดัม Mareike Bloem หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Dutch bank ING กล่าวในเวทีเสวนาว่า “หากมีสิ่งที่สามารถนำเข้าได้ เราควรดีใจที่นำเข้าได้” เธอได้กล่าวเตือนว่า “ถ้าฉันมองที่ยุโรป ความเสี่ยงอย่างหนึ่งก็คือถ้ายุโรปถลำลึกไปในแนวคิดทางภูมิรัฐศาสตร์มากเกินไป ความเป็นเอกราชเชิงกลยุทธ์ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วหมายความว่า เรากำลังปกป้องอุตสาหกรรมทั้งหมดของเราจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของโลก”

ตัวอย่างเช่น “เมื่อคุณคิดถึงรถยนต์ สถานการณ์ที่จู่ ๆ คุณไม่สามารถมีรถยนต์ได้ อาจจะแตกต่างเพียงเล็กน้อยจากการที่คุณไม่ได้เติมน้ำมันหรือได้รับยา” เธอเน้นย้ำว่า “ฉันเข้าใจว่าทำไมอุตสาหกรรมรถยนต์ถึงต้องการได้รับการคุ้มครอง แต่ก็มีราคามหาศาลสำหรับยุโรป”

สหภาพยุโรปได้ดำเนินการสอบสวนรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่ถูกกล่าวหาว่าได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนทางการเงินที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเก็บภาษีรถยนต์จีน Bloem กล่าวว่า “ถ้าพูดตามตรงแน่นอนว่าส่วนหนึ่งของมันคือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แต่ส่วนหนึ่งของมันคือการแข่งขันที่เป็นธรรมด้วย”

ในขณะที่ฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะเดินหน้าต่อไปด้วยการไม่รวมรถยนต์จากจีนในโครงการสนับสนุนของภาครัฐ เช่น โครงการเช่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้ารูปแบบใหม่

ในขณะที่ตระหนักว่าการปฏิรูปอุตสาหกรรมสามารถสร้าง “ความเจ็บปวด” ให้กับคนงานในอุตสาหกรรมที่มีอยู่ได้ Bloem กล่าวเสริมว่า “คำถามคือเมื่อใดที่ฉันอยากจะรับความเจ็บปวด ฉันจะรับมันในตอนนี้ หรือจะรับในภายหลัง และถ้าไม่รับตอนนี้ ในที่สุดราคาก็จะสูงขึ้นมาก”

จำกัดทางเลือกของผู้บริโภค

Pavía กล่าวว่า “ในขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในปัจจุบันมองว่า ความกังขาของผู้บริโภคเกี่ยวกับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงพวกเขา แต่ในอนาคตคุณจะไม่มีทางเลือก นอกจากต้องซื้อรถยนต์ไฟฟ้า”

“ก็ดีเหมือนกัน เราในฐานะพลเมืองจะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สะอาดมากขึ้น แต่แล้วเรายังคงมีหม้อไอน้ำที่ใช้ก๊าซต่อไป ที่บ้านก็มักจะมีฉนวนกันความเย็นที่ไม่ดี และเราก็ขับรถต่อไป ดังนั้น เพียงแค่จำกัดข้อเสนอ เราก็จะมีทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือไปในทางที่สะอาด” เขากล่าวเสริมว่า “บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่เราในฐานะพลเมืองทุกคนจะต้องรับผิดชอบสักนิด” ถึงกระนั้น เขาก็ยังมองโลกในแง่ดีว่าผู้คนจะยังคงสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสีเขียวต่อไป “เพราะพวกเขาเข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่ดีในระยะกลางและทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

อ้างอิง

https://www.euractiv.com/section/economy-jobs/news/green-investors-warn-eu-against-rollback-of-climate-policies/