• มาตรฐาน EN 17837:2023 ได้กำหนดวิธีการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศที่ปล่อยออกมาในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่การขนส่งพัสดุโดยเฉพาะ และวิธีการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับพัสดุ
  • จุดมุ่งหมายของมาตรฐานนี้ คือ การช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่การจัดส่งพัสดุ มีมาตรการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ขนส่งบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและข้อกำหนดการรายงานด้าน ESG

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านสีเขียว และความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นในภาคธุรกิจและลูกค้า หลายองค์กรจึงมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ความมุ่งมั่นนี้ยังมุ่งเป้าไปที่ภาคส่วนดั้งเดิมบางประเภทซึ่งกำลังพัฒนาให้ดีขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความทะเยอทะยานด้านสิ่งแวดล้อมของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

ยุโรปได้ออกมาตรฐานใหม่ที่เกี่ยวข้องกับบริการไปรษณีย์โดยเฉพาะ คือ EN 17837:2023 ‘Postal Services – Parcel Delivery Environmental Footprint – Methodology for calculation and declaration of GHG emissions and air pollutants of parcel logistics delivery services’ เป็นมาตรฐานที่มีรายละเอียดวิธีการคำนวณและการรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศจากบริการจัดส่งพัสดุ

มาตรฐาน EN 17837:2023 ได้กำหนดวิธีการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศที่ปล่อยออกมาในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่การขนส่งพัสดุโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลโดยสังเขปเกี่ยวกับวิธีการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับพัสดุเพื่อสนับสนุนผู้บริการจัดส่งพัสดุในการพัฒนาการรายงานข้อมูลด้าน

สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ขององค์กร และช่วยในการสื่อสารกับลูกค้าอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

มาตรฐานเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

มาตรฐานใหม่นี้ใช้วิธีการที่สอดคล้องกับมาตรฐานและแนวทางที่มีอยู่แล้วเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ISO 14083 และ GLEC (Global Logistics Emissions Council) Framework แต่มีความล้ำหน้ากว่ามาตรฐานที่มีอยู่ โดยมีวิธีการจัดสรรการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือมลพิษในระดับพัสดุแทนที่จะเป็นระดับตัน-กิโลเมตร (t.km) ซึ่งเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม

มาตรฐาน EN 17837:2023 ได้คำนึงถึงแง่มุมสำคัญของบริการไปรษณีย์และการจัดส่งพัสดุ กล่าวคือ บริการไปรษณีย์และการจัดส่งพัสดุแตกต่างจากภาคการขนส่งสินค้าในวงกว้างตรงที่เป็นการให้บริการขนส่งสินค้าน้ำหนักเบาที่หลากหลายประเภทไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ หลายแห่ง ในกรณีนี้ น้ำหนักพัสดุไม่ได้เป็นปัจจัยที่จำกัดจำนวนพัสดุที่สามารถบรรทุกขึ้นรถได้แต่เป็นปริมาณของพัสดุเหล่านั้น ปริมาณพัสดุจึงเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับขอบเขตที่ผู้ให้บริการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบรรทุกและลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ดังนั้น มาตรฐาน EN 17837:2023 จึงมีวิธีการสำหรับการจัดสรรการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับพัสดุแต่ละชิ้นตามน้ำหนักและปริมาตร

ทำไมมาตรฐานนี้ถึงสำคัญ?

มาตรฐาน EN 17837:2023 ได้ปูทางไปสู่การรายงานที่ละเอียดมากขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับการจัดส่งพัสดุ นั่นคือ จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับผู้ใช้บริการจัดส่งพัสดุ (เช่น ผู้ขนส่ง) เนื่องจากจะช่วยให้สามารถวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับพัสดุแต่ละชิ้น แทนที่จะเป็นจำนวนพัสดุเฉลี่ยที่ส่งผ่านเครือข่ายของผู้ให้บริการ

Credit: Wikimedia Commons

ด้วยเหตุนี้ มาตรฐาน EN 17837:2023 จึงตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการปรับปรุงการรายงานด้านสิ่งแวดล้อมในภาคไปรษณีย์ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกฎระเบียบการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่เข้มงวดมากขึ้น ความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตอย่างรวดเร็วของ e-commerce

มาตรฐานนี้มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร?

จุดมุ่งหมายของมาตรฐานนี้ คือ การช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้นจะช่วยให้ระบุตำแหน่งวิกฤต (hot spot) ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่การจัดส่งพัสดุ และสามารถสนับสนุนการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลเพื่อมีมาตรการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ มาตรฐาน EN 17837:2023 ยังช่วยให้ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุสามารถปรับปรุงการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแก่ลูกค้า (เช่น ผู้ขนส่ง) เนื่องจากข้อมูลที่ให้นี้มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับพัสดุแต่ละชิ้นแทนที่จะเป็นจำนวนพัสดุโดยเฉลี่ย จึงสามารถช่วยให้ผู้ขนส่งบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและข้อกำหนดการรายงานด้าน ESG ได้อย่างง่ายดาย

อ้างอิง

https://www.cencenelec.eu/news-and-events/news/2023/eninthespotlight/2023-10-17-green-postal-services